หน้าเว็บ

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความเร็วชัตเตอร์ คืออะไร



ความเร็วชัตเตอร์(1)   คือความเร็วในการเปิด ปิด ช่องรับแสง ตัวที่ทำหน้าที่ในการเปิดและปิดกั้นแสงที่จะเข้าไปโดนฟิล์มคือม่านชัตเตอร์ ลองเปิดฝาหลังกล้องออก ( เหมือนเวลาใส่ฟิล์ม ) แล้วลองกดปุ่มถ่ายภาพดู จะเห็นแผ่นบางๆ เคลื่อนที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ตัวที่เคลื่อนที่ขึ้นลงเพื่อเปิดปิดกั้นแสงนี้คือม่านชัตเตอร์ ระยะเวลาสั้นๆ ในการเปิด-ปิดนั้น จึงเรียกว่าความเร็วชัตเตอร์ หรือ Speed ในภาษากล้องเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง ความเร็วในการเปิดปิดแสงของม่านชัตเตอร์

  Speed มีตั้งแต่ช้าจนถึงเร็ว เช่นปล่อยให้แสงเข้ากล้องเป็นเวลา 1 วินาที ,ครึ่งวินาทีหรือ ½ วินาที ,ครึ่งของครึ่งวินาทีหรือ ¼ วินาที , 1/8 วินาที ->ไปจนถึง 1/500 วินาที , 1/1000 วินาที , 1/2000 วินาที , 1/4000 วินาที และสูงสุดในปัจจุบันที่ 1/8000 วินาที หรือเข้าใจง่ายๆ ว่า ถ้าเราแบ่งช่วงเวลา 1 วินาทีออกเป็น 8000 ส่วน ความเร็วขนาดนี้ไวมากเพียงเศษของ 1 ใน 8000 ส่วนนั้น เร็วจนสามารถหยุดหัวลูกปืนที่ยิงออกไปจากกระบอกปืนได้ ทั้งๆ ที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ ( ถ้าคงเห็นได้หากใครยิงเราก็คงหลบทันซินะ ) วิธีการเขียนแบบเศษส่วนนี้ดูแล้วก็ชวนเวียนหัวดังนั้นจึงเขียนใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ และใช้พื้นที่เขียนน้อย คือ 1, 2, 4, 8, 15, 30, 60, 125, 250 , 500, 1000, 2000, 4000, 8000 และ B ( นานเท่าที่ใจเราต้องการ ) 

ดังนั้นเมื่อเห็นตัวเลขมากขึ้นอย่าเข้าใจว่ายิ่งช้าลง เพราะตัวเลขนั้นย่อมาจากเศษส่วนใน 1 วินาที บางรุ่นก็สามารถเปิดได้นานถึง 30 วินาที จนเร็วที่สุดถึง 1/8000 วินาที ปกติก็จะอยู่ระหว่าง 1-2000 วินาที ซึ่งเร็วเพียงพอแล้วสำหรับการถ่ายภาพแบบธรรมดา การปรับความเร็วชัตเตอร์ กล้อง SLR แมนนวล ปรับโดยการหมุนแป้นปรับบนตัวกล้อง


ความเร็วชัตเตอร์ของกล้องจะมีระยะตั้งแต่ 30 วินาที -  1/8000 วินาที ซึ่งขึ้นอยู่กับเสปคของกล้องด้วย นอกจากการควบคุมเรื่องแสงที่จะตกสู่เซนเซอร์ของกล้องแล้ว ความเร็วชัตเตอรยังส่งผลถึงการ "จับการเคลื่อนไหว" ของแบบอีกด้วย!

 น้องๆ เคยเห็นภาพคนที่หยุดนิ่งกลางอากาศ หรือภาพข่าวกีฬาที่เห็นนักกีฬาหยุดค้างอยู่ ไม่ขยับเขยื้อน หรือภาพน้ำตกที่เห็นสายน้ำ กระเซ็นเป็นเม็ดๆ หรือเป็นสายๆ นุ่มนวลเหมือนเป็นควันลอยขึ้นมาไหมครับ นั่นละ! ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการควบคุมความเร็วชัตเตอร์ทั้งสิ้น 




  อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ยิ่งชัตเตอร์เร็วเท่าไร ยิ่งหยุดความเคลื่อนไหวได้มากเท่านั้น และยิ่งช้าเท่าไรยิ่งทำให้เคลื่อนไหวมากเท่านั้น
           สมมุติว่าเราจะถ่ายภาพคนกระโดดให้หยุดอยู่บนอากาศ ความเร็วชัตเตอร์สมควรมีมากกว่า 1/250 วินาที ยิ่งเป็นการเคลื่อนที่เร็วเท่าไรยิ่งต้องเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่านั้น เช่นการแข่งขันรถ อาจจะต้องใช้ความเร็วถึง 1/1000 วินาที

แล้วถ้าอยากถ่ายน้ำตกให้เกิดเป็นสายน้ำที่นุ่มนวล ก็จำเป็นต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้า อาจจะนาน 1 วินาที หรือ มากกว่านั้น และใช้ควบคู่กับขาตั้งกล้อง เพราะการสั่นไหวของกล้องเพียงเล็กน้อย จะทำให้ภาพนั้นเบลอได้ครับ

แล้วทีนี้เวลาเรายกกล้องขึ้น มา เราลองสังเกตกันนะครับว่าทำไมเราถ่ายภาพมักจะเบลอ นั่นเพราะตัวเลขของความเร็วชัตเตอร์นั้นช้าเกิน กว่าที่มือเราจะถือได้นั่นเอง! (ให้เราปรับไปที่โหมด TV หรือ โหมด S นะครับ จะทำให้เราสามารถควบคุมสปีดชัตเตอร์ได้ ส่วนกล้องของน้องคน ไหนไม่มีโหมดนี้ ก็พยายามเลือกถ่ายรูปในสถานที่ที่มีแสงเยอะๆ นะครับ 
       ป.ล.เราสามารถฟังจากเสียงชัตเตอร์ได้เหมือนกันนะครับว่า ช้าหรือเร็ว ถ้า ชึบ! แล้วหยุดนั่นคือเร็ว แต่ถ้า ชึบ....ชึบ! นั่นคือชัตเตอร์ช้าครับ มีความเป็นไปได้สูงว่า ภาพสั่นแน่นอน! 

ความเร็วชัตเตอร์(2) ( shutter speed ) ความเร็วชัตเตอร์มีผลต่อการเคลื่อนไหวของวัตถุ โดยอาจทำให้แบบหยุดนิ่งได้ หรือ หรือ มีลักษณะการเคลื่อนไหว

- ความเร็วชัตเตอร์สูงๆจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง


- ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ จะทำให้วัตถุเหมือนเคลื่อนที่


shutter speed มีผลกับความเร็วในการเปิดปิดช่องรับแสง โดยที่ค่าความเร็วชัตเตอร์มีค่ามาก แสงจะผ่านเข้ามาได้น้อย ส่วน ความเร็วชัตเตอร์น้อยแสงจะผ่านเข้าสู่กล้องได้มาก

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถ่ายภาพแบบมุมกว้างมาก ๆ (Panorama)

ถ่ายภาพแบบมุมกว้างมาก ๆ (Panorama)           เป็นการถ่ายภาพในมุมที่ต้องการความกว้างมากๆ เช่น รูปหมู่ในการรับปริญญาจำนวนคนมากกว่าหนึ่งร้อย รูปหาดทราย
ชายทะเล จุดเด่นของกล้องดิจิตอลอีกอย่างหนึ่งนั่นคือ การถ่ายภาพแบบพาโนรามาได้อย่างไม่ยาก เพียงแต่ขอให้มีโปรแกรมต่อภาพ
กล้องดิจิตอล เกือบทุกรุ่นก็สามารถถ่ายภาพพาโนรามาได้แล้ว หลักการถ่ายภาพพาโนรามาของกล้องดิจิตอลคือการถ่ายภาพหลายๆ
ภาพต่อกันเพื่อให้ได้ภาพที่มุมมองกว้าง กว่าปกติซึ่งสามารถเลือกถ่ายได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
          การถ่ายภาพพาโนรามาเพื่อให้ได้ผลดี และภาพต่อกันได้สนิทควรใช้ร่วมกับขาตั้งกล้องและระบบล็อคค่าความจำแสง
ความเร็วชัดเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพที่อยู่ในระนาบเดียวกันและมีแสงสว่างของภาพใกล้ เคียงกัน แต่กล้องดิจิตอลบางรุ่นก็มีระบบช่วย
เหลือการถ่ายภาพพาโนรามา ซึ่งจะแสดงภาพถ่ายที่ถ่ายไปแล้วไปที่จอ LCD (เป็นช่องมองภาพของกล้อง) เพื่อช่วยให้การถ่ายภาพ
ต่อไปต่อเนื่องกับภาพแรกได้ดียิ่งขึ้น แต่ถึงแม้จะไม่มีระบบช่วยเหลือนี้กล้องดิจิตอลก็ยังสามารถถ่ายภาพพาโนรามา ได้อย่างดี
          องค์ประกอบที่สำคัญของกล้องถ่ายรูประบบดิจิตอลที่กล่าวถึงต่อไปนี้เป็นกล้องดิจิตอลขนาดเล็กคอมแพ็ค (Compact)
ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้
          ตัวกล้องดิจิตอล (Digital Camera)
ตัวกล้องดิจิตอลนั้นไม่ได้ใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ แต่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า เซนเซอร์ ใช้ในการบันทึกภาพแทนโดย
แปลงข้อมูลจากแสงมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิตอลที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แล้วบันทึกเก็บไว้ในอุปกรณ์
เก็บข้อมูลจากนั้นเราก็สามารถนำไปพิมพ์ออกมาเป็นภาพ หรือตกแต่งตามต้องการได้อีกด้วย
        
เลนส์ (Lens)
ถือว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของกล้องถ่ายภาพ เพราะเป็นส่วนที่เปรียบเสมือนดวงตาของกล้องเอาไว้รับภาพและแสงต่างๆ เข้าสู่
กล้องกล้องที่มีเลนส์คุณภาพดีก็เหมือนกับคนที่มีสายตาดี สามารถมองเห็นภาพมีความคมชัด เลนส์กล้องจะประกอบด้วนชิ้นเลนส์
จำนวนมาก เพื่อรับแสงและซูมขยายภาพ กล้องดิจิตอลรุ่นราคาแพงมักจะมาพร้อมกับเลนส์คุณภาพดี ที่สามารถรับแสงได้มากและ
มีความคมชัดสูง
          ช่องมองภาพ (Shutter Button)
ช่องนี้เอาไว้มองภาพที่คุณกำลังจะถ่ายเพียงแค่คุณเอาดวงตามองผ่านช่องมองภาพแล้วเล็งภาพที่ต้องการ จากนั้นกดปุ่มชัตเตอร์
เพื่อบันทึกภาพ ช่องมองภาพของกล้องดิจิตอลมีหลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
          ปุ่มชัตเตอร์ (Shutter Button)
ปุ่มชัตเตอร์เป็นเหมือนปุ่มคำสั่งให้กล้องทำการบันทึกภาพนั้นๆ โดยทั่วไปการทำงานของปุ่มชัตเตอร์จะมี 2 จังหวะ คือ จังหวะแรก
กดลงไปครึ่งหนึ่งกล้องจะเริ่มทำงานปรับระยะความคมชัดของภาพ วัดแสงระยะที่สองเมื่อคุณกดลงไปจนสุดกล้องจะบันทึกภาพที่
ได้ทันที
          แฟลช (Flash)
แฟลชมีประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณต้องการถ่ายภาพในที่มืด หรือในที่ที่มีแสงน้อย แฟลชที่ติดมากับกล้องมักจะมีขนาดเล็กทำให้
ฉายแสงไปได้ไม่ไกลนัก ส่วนใหญ่จะประมาณ 3 - 5 เมตร (อย่าเผลอเอานิ้วไปบังแฟลช นะครับ)
          จอภาพแอลซีดี (LCD)
ส่วนนี้ถือเป็นส่วนที่แตกต่างที่สุดระหว่างกล้องถ่ายภาพใช้ฟิล์มกับกล้องดิจิตอล เพราะคุณสามารถสังเกตได้ทันทีจากภายนอกว่า
กล้องตัวนี้เป็นกล้องดิจิตอลหรือไม่ เพราะกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะมีจอ LCD อยู่ ประโยชน์ของจอ LCD มีไว้เพื่อดูภาพที่กำลังจะ
ถ่ายนั้นเองแต่ละรุ่นก็มีขนาดแตกต่างกันไป
          ช่องเก็บการ์ดหน่วยความจำ (Memory Slot)
ช่องเก็บหน่วยความจำเปรียบเสมือนช่องใส่ฟิล์มในกล้องฟิล์ม เพราะการ์ดหน่วยความจำของกล้องดิจิตอลมีไว้เพื่อบันทึกไฟล์
รูปภาพที่ถ่ายไปแล้ว ซึ่งกล้องดิจิตอลแต่ละรุ่นจะใช้หน่วยความจำไม่เหมือนกัน
          ช่องเก็บแบตเตอรี่ (Battery)
ก็เหมือนกับช่องใส่แบตเตอรี่โดยทั่วๆ ไปเพราะถ้ากล้องไม่มีแบตเตอรี่ ก็ไม่มีพลังงานในการทำงาน ช่องใส่แบตเตอรี่ในกล้อง
ดิจิตอลมักมีขนาดแตกต่างกันไป
          ช่องโอนถ่ายข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์
เป็นส่วนที่ใช้โอนถ่ายข้อมูลรูปภาพที่คุณถ่ายไว้เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งกล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีช่องนี้มาให้พร้อมกับสายส่งข้อมูล
การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับกล้องดิจิตอลมีหลายแบบส่วนมากแล้วจะเป็นแบบ USB

           ช่องต่อทีวี (TV-OUT)
ช่องสำหรับต่อเข้ากับเครื่องรับโทรทัศน์ ช่องนี้มีประโยชน์เมื่อคุณต้องการดูภาพแล้วไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้โหลด ภาพคุณอาจต่อ
กล้องที่มี TV-OUT เข้ากับทีวีในบ้าน
          นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้เรียบเรียงเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างกล้องดิจิตอลกับกล้องใช้ฟิล์ม และ การปรับความละเอียด
พิกเซลกับรูปถ่ายที่ขยายได้สูงสุด