ISO คือค่าความไวแสงของฟิล์มในสมัยก่อน
คำว่า ISO เป็นภาษากรีกโบราญ ความหมายก็คือ เท่ากับ
ค่าISO
ความไวแสงของฟิล์มนั้นที่มีตัวเลขน้อย (มีความต้องการแสงมาก)
ตัวเลขยิ่งมากความไวแสงของฟิล์มก็ยิ่งเร็วมาก (ต้องการแสงน้อยลง)
ภาพที่มีค่า ISO 100 จะมืดกว่าภาพที่มี ISO สูงๆ
ขอดีของการใช้ ISO ต่ำๆ
คุณภาพของภาพจะดีกว่า ISO สูงๆ เพราะการใช้ ISO ที่มากขึ้น
จะทำให้เกิดสัญญาณรบกวน ทำให้เกิดจุดๆในรูปภาพ ที่เราเรียกกว่าการเกิด น๊อย
(Noise)
(Noise สัญญาณรบกวนที่เกิดกับรูปภาพ ทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของความสว่างและสี จะเป็นจุดๆๆๆในภาพที่ถ่าย)
ค่า
ISO ทั่วไปตามมาตรฐาน คือ ISO 100 ISO 200 ISO 400 ISO 800 ISO 1600 ซึ่ง
ค่า ISO ที่เพิ่มขึ้นนั้นเราจะเรียกว่า สต็อป ยกตัวอย่างเช่น ISO 200
มีความไวแสงต่างกับ ISO 100 อยู่ 1 สต็อป และ ISO 400 มีค่าความไวแสง ISO
100 อยู่ 2 สต็อป
สมัยก่อนในยุคฟิล์มบริษัทผู้ผลิตฟิล์มในแต่ละ
ประเทศต่างก็กำหนดชื่อมาตรฐานและตัวเลข โดยกำหนดอัตราความไวแสงของตน
ออกมาใช้สำหรับฟิล์มที่ตนผลิตได้ เช่น ประเทศเยอรมนีใช้ชื่อมาตราว่า
ไซเนอร์ (Schiener) และดิน (Din : Deutsche lndustrie Norm) อังกฤษใช้
บี.เอส. (B.S. : British Standards Exposure lndex) ญี่ปุ่นใช้ เจไอเอส
(JIS : Japanese lndustrial Standards) สหรัฐอเมริกาใช้ เวสตัน (Weston)
ยี.อี. (G.E. : GeneraI EIectric) และเอเอสเอ (ASA : American Standards
Association) ในสมัยก่อนค่า ความไวแสงจะมีบอกในกล้องฟิล์มที่จะเอาไปใช้
ค่าความไวแสงน้อย คือ ต้องการแสงมากๆ ค่าความไวแสงมาก คือต้องการแสงน้อย
ผู้
ผลิตฟิล์มมีปัญหาการจำหน่อยไปยังทั่วโลก จึงหาคำที่ใช้เรียกกันในแบบสากล
ที่นำใช้ร่วมกันทั่วโลกได้ เมื่อเกิดมาตราสากล ไอเอสโอ
ขององค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO : ln-ternational Organization for
Standardization ) จึงเปลี่ยนคำจาก เอเอสเอ ของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนมาใช้
ISO แทน ในช่วงการปรับเปลี่ยน
บางยี่ห้อยังใช้เอเอสเอกันอยู่เพราะเป็นที่เข้าใจและแพร่หลายมาก่อน
ISO ในยุคของกล้องดิจิตอล
ISO
ในยุคของกล้องดิจิตอล คือ ความไวแสงที่มีในกล้องดิตอล หรือ
ค่าอิมเมจเซนเซอร์ในการรับแสง ซึ่งตัวเลขมีค่ามาก
ความไวต่อการรับแสงก็มากขึ้นไปด้วย
ทำให้ผู้ถ่ายรูปได้สปีดชัดเตอร์ที่เพิ่มขึ้นด้วย
และสามารถที่จะถ่ายในที่มีความไวแสงสูงๆ เช่น คนวิ่ง เด็กกระโดดน้ำ
แต่การที่ใช้ ISO ที่สูงขึ้นนั้นจะทำให้เกิด น้อยส์ (Noise)
ซึ่งทำให้คุณภาพของภาพลดลงตามไปด้วย
(ISO) น้อย (ความเร็วชัดเตอร์) น้อย (Noise) น้อย ต้องการแสงมาก คุณภาพดี
(ISO) มาก (ความเร็วชัดเตอร์) มาก (Noise) น้อย ต้องการแสงน้อย คุณภาพไม่ดี
- AUTO ISO กล้องจะจัดการปรับค่า ISO ให้เองโดยอัตโนมัติ โดยขึ้นกับวัตถุที่เราจะถ่าย
- iso 100
iso 100 : มันนิยมใช้ในที่กลางแจ้ง สว่างมากๆ การใช้ ISO 100 จะทำให้มีสัญญาณรบกวนที่ต่ำทำให้คุณภาพของภาพดีมากๆ
- iso 200
iso 200 : เหมาะกับงานในร่มที่ไม่มืดมากนัก คุณภาพจัดว่าดี แต่เริ่มมีสัญญาณรบกวนเข้ามา (Noise)
- iso 400
iso 400 : มักใช้ในงานที่อยู่ในร่ม มีความมืดพอประมาณ คุณภาพของภาพยังถือว่าดีอยู่ แต่สัญญาณรบกวน (Noise) มีสูงขึ้นแต่ยังพอรับได้
- iso 800
iso
800 :มักใช้ในงานที่มีสภาพแสงน้อย
หรือปรับค่าให้มีความเร็วสูงๆเพื่อเพิ่มสปีด ทำให้มีสัญญาณรบกวนมาก
ภาพอาจจะไม่เนียนตา แต่เน้นความคมชัด
ข้อควรระวัง:
เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้อง ถ่ายภาพด้วย ISO สูงๆ 800 , 1600
ควรต้องวัดแสงให้พอดี การปรับแสงให้ภายหลัง อาจทำให้เกิด Noise
ซึ่งเป็นจุดในรูปภาพทำให้ภาพไม่สวยงามได้
- iso 1600
มักเป็นสถาพแสงที่มีแสงน้อยมาก สัญญาณรบกวนมีสูง จะมีเม็ดเล็กๆขึ้นมา แต่อาจยังพอรับได้
ข้อ
ควรระวัง: เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้อง ถ่ายภาพด้วย ISO สูงๆ 800 , 1600
ควรต้องวัดแสงให้พอดี การปรับแสงให้ภายหลัง อาจทำให้เกิด Noise
ซึ่งเป็นจุดในรูปภาพทำให้ภาพไม่สวยงามได้
- iso 3200
มัก
อยู่ในสถานที่มี่มีแสงน้อยมากๆ ภาพที่ออกมาจะมีสัญญาณรบกวนที่สูง
ภาพอาจมีจุดๆที่เกิดขึ้นจากสัญญาณรบกวน (Noise) การใช้ ISO 3200 นั้น
เน้นการได้ภาพเป็นหลัก